การดูและสุขภาพและรูปร่าง

ความเครียด ทำให้เกิดการเสียสมดุลระหว่างการสร้างและการทำลายที่เรียกว่าอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่ไวต่อการทำปฏิกิริยาทางชีวเคมี โจมดีอวัยวะต่างๆ เช่น โจมดีผิวหนังทำให้เส้นใยคอลลาเจน และอิลาสตินซึ่งเป็นสารให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังเกิด “คลอสลิ้ง” ทำให้เกิดลักษณะหยาบกระด้างเหี่ยวย่น โจมตีเลนซ์นัยน์ตา ทำให้ขุ่นมัวกลายเป็นต้อกระจก โจมตี DNAและRNA ทำให้เกิดการกลายพันธ์ หรืออาจกลายเป็นเซลล์ เนื้อร้ายซึ่งก็คือ “มะเร็ง”

“ของหวาน” สาเหตุของความเสื่อมทั้งหลาย
คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น หมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน ผลไม้หวาน น้ำอดลม ฯลฯ จะทำให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว ความดันโลหิดสูง ไขมันสูง เบาหวาน กระดูกพรุน อ้วน และมะเร็ง บางคนเข้าใจว่าน้ำตาลทรายแดงไม่เป็นอันตราย ความจริงน้ำตาลทรายแดงดีกว่าน้ำตาลทรายขาว ตรงที่มี วิตามินบี และไม่มีอันตรายจากสารฟอกขาว แต่อันตรายจากความหวานนั้นมีเท่ากัน
จากความจริงที่ว่าร่างกายใช้กลูโคสเป็นพลังงาน เพราะฉะนั้นทุกคนจึงเชื่อว่าน้ำหวาน หรือน้ำอดลม ดื่มแล้วจะสดชื่น และมีพลังงาน แต่น้ำตาลจะมีประโยชน์นั้นจะต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ถ้าคนได้น้ำตาลมากเกินน้ำตาลที่มีประโยชน์จะก่อให้เกิดโทษทันที น้ำผลไม้จะมีประโยชน์หากร่างกายได้รับวันละ 1/3 แก้ว หากมากกว่านี้จะเกิดโทษได้
กลูโคสที่ดีคือกลูโคสที่เป็นcomplex carbohydrate หรือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว เผือก มัน ข้าวโพด กลูโคสแบบนี้จะค่อยๆถูกย่อย ร่างกายจะค่อยๆดูดซึมเป็นระยะเวลานาน ร่างกายจะเอาไปใช้ทัน แต่ถ้าเราได้จากน้ำตาลซึ่งมันไม่ต้องย่อยเลย พอตกไปถึงท้องก็ถูกดูดซึมทั้งหมด กลูโคสท่วมเซลล์ร่างกายแล้วก่อให้เกิดอันตรายทันที แต่อาการจะไม่แสดงออกทันที ร่างกายคนเราสามารถทนได้ถึง 5 – 10 ปี กว่าจะเกิดโรค

ผลไม้หวาน : ทุเรียนไม่รวมเปลือก และเม็ดมีน้ำตาล 60 % สัปปะรดไม่รวมแกนและเปลือก ลำไย ส้ม องุ่น มะละกอ กล้วยมีน้ำตาลเท่ากับทุเรียน สำหรับสัปปะรด ส่วนที่ดีที่สุดของสัปปรดคือแกน เพราะแกนมีสารบรอมมีเลน ซึ่งเป็นสารด้านมะเร็ง ต้านการอักเสบ และทำลายเชื้อโรคโดยตรง หลายคนพยายามเลี่ยงขนมหวาน แต่ไม่ทราบถึงอันตรายของผลไม้หวาน ผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยมากคือ แอปเปิ้ลเขียว หรือมะนาวซึ่งไม่มีน้ำตาลเลย
สัญญาณเตือนภัยเมื่อร่างกายได้รับอันตรายจากหวานคือ น้ำหนักลดยาก เอวใหญ่กว่าสะโพก (ไม่ค่อพบในคนไทย) อยากกินหวานถ้าไม่ได้กินหวานจะหงุดหงิด ตัวบวม มีผมหรือขนในที่ที่ไม่ควรมี ผมร่วง เป็นสิวในผู้ที่มีอายุเกิน 30 ปี ซีสต์ที่รังไข่ ความดันสูง นิ่ว ไต เบาหวาน เส้นเลือดหัวใจตีบ ไขมันไตรกลี
เซอไรต์ ตับแข็ง ไขมันแทรกในตับ ยูริค เป็นตะคริว เป็นเชื้อรา หรือโรคผิวหนังอื่นๆบ่อยๆ เช่น กลาก เริม เป็นต้น ใครก็ตามที่ชอบกินหวานผิวหนังของคนๆนั้นจะเป็นกรด พร้อมให้ราขึ้น
โรคไต : เกิดจากการตกตะกอนของหินปูน แคลเซียมออกซาเลต ซึ่งสัมพันธ์กับการกินหวานโดยตรงเนื่องจากการตกตะกอนของเกลือออกซาเลตในไต จะต้องใช้น้ำตาลเป็นตัวตกตะกอน เพราะฉะนั้นโรคไตจึงเกิดจากการกินหวานและการกินพืชที่มีสารออกซาเลตสูง คนส่วนใหญ่คิดว่าไตจะสัมพันธ์กับเค็ม ความจริงถ้ากินเค็มแล้วกินน้ำมากพอก็จะไม่ก่อให้เกิดโรคไต แต่เค็มเป็นสาเหตุของมะเร็งและโรคกระดูกผุ น้ำปลาที่ไม่ใส่พริกขึ้หนู หอมแดง บีบมะนาว จะก่อให้เกิดมะเร้งกระเพาะอาหาร ทางเดินอาหาร และกระดูกผุ แต่ถ้าใส่พริกขึ้หนู หอมแดง บีบมะนาวอันตรายนั้นก็จะหมดไปทันที การวิจัยพบว่าวิตามินซีจากผลไม้เปรี้ยว โดยเฉพาะมะนาวและสารโคซีทินที่มีอยู่ในหอมแดงสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ ส่วนเค็มจากเกลือก็จะก่อให้เกิดมะเร็งเช่นกัน แต่อันตรายน้อยกว่าน้ำปลาเปล่าๆ สาเหตุที่เค็มทำให้กระดูกผุเพราะโซเดียมที่เกินเวลาขับทิ้งที่ไต ถ้าปริมาณน้ำพอดีร่างกายจะขับออกไปได้โดยไม่ทำลายไตแต่จะดึงเอาแคลเซียมในร่างกายไปด้วย
เนยเทียม : เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น โดยยิงไฮโดรเจนเข้าไปที่น้ำมันดอกทานตะวัน ทำให้โมเลกุลบิด แข็งตัวเป็นเนยขึ้นมา เมื่อเข้าไปในร่างกายจึงเป็นสิ่งแปลกปลอมและเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก
ดังนั้นเราควรรู้จักดูแลสุขภาพ รักษาคุณภาพของชีวิตด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ดื่อสุราไม่สูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้คุณค่าของโภชนาการที่ครบถ้วน ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส เพื่อดุลภาพของร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย มีน้ำหนักร่างกายที่เหมาะสมกับรูปร่าง มีสุขภาพที่แข็งแรง ผิวพรรณสดใส และอายุยืนยาวตลอดไป....

ปรึกษาและรับข้อมูลด้านสุขภาพและรูปร่าง(น้ำหนัก)จากผู้เชี่ยวชาญฟรีได้ที่!

รัฐยา 0878203871

e-mail : healthy-body@hotmail.com
healthy.body85@gmail.com